วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ลดลงบ้างก็ดีนะ น้ำอัดลมหนะ

ภัยน้ำอัดลม
Water & Coke น้ำ กับ น้ำอัดลม

ถ้าท่านรู้เรื่องนี้

ท่านจะดื่มน้ำมากขึ้น เพราะน้ำเป็นส่วนสำคัญของร่างกาย 75% มีงานวิจัยพบว่าในคน 100 คน
ที่ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว จะช่วยให้คน 80 คนลดอาการปวดหลังปวดข้อลงได้ ดื่มน้ำวันละ 5 แก้ว ลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่ได้ ถึง 45 % มะเร็งเต้านมได้ 79% และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้เกือบ 50%!

ทีนี้มาลองรู้จักน้ำ ' อัดลม ' กันหน่อย แน่นอนโค้กรสชาดยอดเยี่ยม

แต่ตำรวจทางหลวงจะบรรทุกโค้ก 2 แกลลอน ในช่องท้ายรถ เพื่อเวลามีรถชนกันสามารถเอา ' อัดลม ' ล้างเลือดบนถนนได้เกลี้ยงเกลาถ้าเราเอา T-bone steak ใส่ในชามกะละมังที่มีน้ำโค้กเต็ม จะพบว่าจะถูกละลายไปหมดใน 2 วัน
- รินโค้ก 1 กระป๋องลงในโถส้วมทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง แล้วชักโครก กรดซิตริกในโค้ก จะล้างคราบสกปรกในโถส้วมได้สะอาด ถ้าต้องการกัดสนิมที่กันชนชุมโครเมี่ยมของรถ ให้เอาที่ขัดที่ทำด้วย foil ชุบโค้ก ขัดสนิมจะออกหมด
- ถ้าจะล้างทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ที่มีคราบกรดเกลือเกาะขาวๆ ให้เทน้ำอันลม ฟองจะกัดคราบขาวออกได้หมด
- ถ้าจุดขวดติดแน่น งัดไม่ออก เอาผ้าชุบน้ำโค้กหุ้มไว้หลายๆ นาที จะบิดจุดขวดออกได้โดยง่าย
- ถ้าจะปิ้ง moist ham ให้เทโค้ก 1 กระป๋อง เทลงในกระทะ ห่อแฮมด้วยอะลูมิเนียมฟอล์ยแล้วปิ้ง 30 นาที ก่อนแฮมจะสุก แกะฟอล์ยออก ปล่อยให้น้ำเนื้อหยดลงไปผสมกับน้ำโค้กในกระทะ ท่านจะได้น้ำเกรวี่สีน้ำตาล
- การล้างคราบไขมันจากเสื้อผ้า ให้ใช้น้ำโค้ก 1 กระป๋อง ผสมกับผงซักฟอกในปริมาณที่จะใส่ในเครื่องซัก ปล่อยให้ซักด้วยเครื่องตามปกติโค้กจะช่วยกำจัดคราบไขมันได้สะอาดหมดจด
-ท่านสามารถผสมน้อัดลมลงในน้ำล้างกระจกรถยนต์ ฟอสฟอริคแอซิดในโค้ก จะช่วยทำความสะอาดกระจกได้ดี น้ำโค้กมี pH 2.8 ถ้าตัดเล็บแช่ในน้ำโค้ก 4 วัน จะละลายหมด

เวลาขนย้ายหัวเชื้อน้ำอัดลมเข้มข้น เพื่อส่งตามโรงงานทั่วโลก ที่รถ truck จะต้องติดป้ายไว้ว่า ' มีวัตถุที่มีกรดกัดกร่อนได้ เป็นอันตราย '

บริษัทขายน้ำอัดลม! ใช้น้ำโค้กทำความสะอาดเครื่องยนต์ของรถ truck มานานประมาณ 20 ปีแล้ว

ท่านยังอยากดื่ม โค้ก หรือดื่มน้ำกัน เลือกเอาเอง

แปลโดย ศ.กิตติคุณ นพ.เสก อักษรานุเคราะห์
หน่วยงาน : ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู
วันที่ลงบทความ 21 เม.ย. 45


มีบทความที่อ้างอิงถึงภัยของการดื่มนำ้อัดลมอีก

เตือนระวังภัย “น้ำอัดลม” ก่อโรคฝีในสมอง! ทำฟันผุ-เชื้อโรคลามขึ้นสมอง ซ้ำร้ายเตี้ยแคระ-ขาดสารอาหาร “สสส.” ชี้แผนการตลาดโฆษณาน้ำตาล 0% ต้องระวังเป็นพิเศษเพราะมีแต่แก๊ส คนลดอ้วนนิยม-ทำให้ไม่หิว แต่ส่งผลระยะยาวให้ร่างกายขาดสารอาหาร

ผงะ! ผลวิจัยพบเด็กซื้อน้ำอัดลมในสถานศึกษามากกว่า รร.ปลอดน้ำอัดลม 7-8 เท่า กทม.จัดโครงการ “โรงเรียนอ่อนหวาน” รณรงค์ห้ามจำหน่ายในโรงเรียน

เมื่อวันที่ 10 ก.ค. ที่โรงเรียนวิชูทิศ ดินแดง กท. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน จัดงาน "แต้มสีสันโรงเรียนอ่อนหวาน 7 วัน 7 สี ไม่มีน้ำอัดลม" โดย นพ.สุริยเดว ทรีปาตี โฆษกเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวว่า การดื่มน้ำอัดลมในเด็กและเยาวชนกำลังกลายเป็นปัญหาสาธารณสุข

เนื่องจากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า น้ำอัดลมเป็นบ่อเกิดของโรคหลายชนิด อาทิ โรคอ้วน โรคผอม โรคฟันผุ และกระดูกกร่อน ล่าสุดรายงานจากสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี พบว่า เด็กที่มีอาการฟันผุ มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคฝีในสมองได้

"เมื่อช่วงเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา แพทย์ทางสถาบันสุขภาพเด็กฯ พบว่า อาการฝีในสมองของเด็กรายหนึ่ง เกิดจากปัญหาฟันซี่บนผุ ซึ่งเชื่อมต่อฐานของสมอง เมื่อฟันผุมากๆ เชื้อโรคก็แทรกซึมเข้าสู่สมองจนทำให้เกิดฝีในสมองได้ เมื่อย้อนกลับมามองสาเหตุของฟันผุ เชื่อว่าส่วนหนึ่งมาจากการรับประทานที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะน้ำอัดลม ซึ่งเป็นแหล่งของความหวานชั้นยอด" นพ.สุริยเดว กล่าว

นพ.สุริยเดว กล่าวอีกว่า ปกติน้ำอัดลม 1 กระป๋องจะมีน้ำตาลประมาณ 10-14 ช้อนชา ทุกกระป๋องจะเพิ่มโอกาสเป็นโรคอ้วนได้ร้อยละ 1-2 จากการศึกษาปัญหาเด็กอ้วนพบว่า ส่วนใหญ่ดื่มน้ำอัดลม 25 กระป๋องต่อสัปดาห์ ขณะที่ตามหลักโภชนาการแล้ว ไม่ควรรับประทานน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน

นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดภาวะพร่องแคลเซียม เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่จะเป็นโรคกระดูกคดงอและโรคกระดูกพรุนได้ ส่วนกลยุทธ์การตลาดของผู้ประกอบการที่ออกมาโฆษณาว่า น้ำอัดลมปราศจากน้ำตาลหรือน้ำตาล 0 เปอร์เซ็นต์ ต้องระวังเป็นพิเศษ

เนื่องจากในระยะยาวจะทำให้เป็นโรคผอมเพราะขาดสารอาหารเพราะเครื่องดื่มชนิดนี้ไม่มีสารอาหารใดๆ มีแต่แก๊ส ทำให้ท้องอืด ไม่อยากอาหาร คนอ้วนที่ต้องการลดความอ้วนจะหันมาดื่มน้ำอัดลมประเภทนี้จะทำให้ลดความอ้วนได้

ขณะเดียวกันยังส่งผลให้ร่างกายเจริญเติบโตไม่เต็มที่เพราะน้ำอัดลมมีกรดคาร์บอนิกที่มีคุณสมบัติขับแคลเซียมออกจากร่างกาย โดยเฉพาะวัยรุ่น 9-14 ปี ที่ต้องการแคลเซียมเพื่อสร้างความเติบโตมากที่สุด หากดื่มน้ำอัดลมมากจะทำให้ร่างกายขับแคลเซียมจนหมดส่งผลให้ร่างกายสูงไม่เต็มที่และ "อ้วนเตี้ย"

"การดื่มน้ำอัดลมจำนวนมาก สุ่มเสี่ยง ต่อการเกิดโรคต่างๆ ที่สำคัญยังเป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค เพราะเด็กที่เข้ารักษาตัวเพราะน้ำหนักตัวเกิน จะหายใจไม่ออก นอนไม่ได้มากกว่าเด็กปกติ 2-3 เท่า ทำให้ต้องรักษาตัวนาน ดังนั้นโรงเรียนต่างๆจึงควรหันมาใส่ใจปัญหานี้และทำให้ร้านค้าภายในและรอบโรงเรียนปลอดการขายน้ำอัดลม แต่ควรหันมาดื่มน้ำเปล่า เพราะเป็นน้ำสะอาดและดีที่สุด หากต้องการดื่มน้ำผลไม้ก็สามารถทำได้แต่ไม่ควรมีน้ำตาลเกินร้อยละ 5 ต่อ 100 ซีซี" นพ.สุริยเดว กล่าว

ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผอ. สำนักงานสนับสนุนการสร้างสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยงรอง สสส. กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ป่วยจากโรคอ้วน 300 ล้านคน และอีกประมาณ 1,000 ล้านคน ที่กำลังเข้าสู่ภาวะโรคอ้วน ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากการไม่ออกกำลังกาย ขณะที่การบริโภคยังนิยมของแคลอรีสูง และของหวานต่างๆ ประเทศไทยก็เช่นกันจากการศึกษาพบว่า หากดื่มน้ำอัดลมติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก 1 กิโลกรัม

ด้าน ผศ.ทพญ.ปิยะนารถ จาติเกตุ นักวิชาการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวว่า ล่าสุดได้ทำการสำรวจการบริโภคเครื่องดื่มของนักเรียน จากกลุ่มตัวอย่าง 9,300 คน ในโรงเรียน 14 จังหวัดทั่วประเทศ แบ่งเป็นนักเรียน 8,400 คน ผู้ปกครอง 700 คน ครู 273 คน พบว่า นักเรียนในโรงเรียนที่ขายน้ำอัดลม ดื่มน้ำอัดลมบ่อยกว่านักเรียนที่โรงเรียนปลอดน้ำอัดลม 7-8 เท่า โดยนักเรียนระดับมัธยมศึกษาจะดื่มมากกว่าประถมศึกษา 3.9 เท่า และหญิงดื่มบ่อยกว่าชายถึง 1.4 เท่า ปัจจัยสำคัญของการดื่มน้ำอัดลม

ส่วนหนึ่งเกิดจากการขายน้ำอัดลมในโรงเรียน ซึ่งผู้ขายส่วนใหญ่ คือ สหกรณ์หรือร้านค้าโรงเรียนร้อยละ 44 ส่วนโรงเรียนที่มีน้ำอัดลมที่มีทั้งแม่ค้าและสหกรณ์หรือร้านค้าของโรงเรียนพบถึงร้อยละ 47.2 นอกจากนี้จากการศึกษายังพบว่า โรงเรียนที่ปลอดและไม่ปลอด น้ำอัดลมได้รับเงินสนับสนุนจากผู้จำหน่ายเครื่องดื่มทั้งสิ้น โรงเรียนที่ไม่ปลอดน้ำอัดลมได้ถึงร้อยละ 81.3 ขณะที่โรงเรียนปลอดน้ำอัดลมได้เพียงร้อยละ 59.3

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า ขณะนี้ กทม.ได้จัดโครงการโรงเรียนอ่อนหวาน เพื่อสร้างจิตสำนึกให้แก่ครู นักเรียน และผู้ปกครอง ให้เลือกบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และเข้าใจโทษของการบริโภคของหวาน โดยกทม.เริ่มมีนโยบายห้ามขายน้ำอัดลมในโรงเรียนในสังกัด 436 แห่งมา 3 ปี มีนักเรียน 340,000 คน เชื่อว่าจะทำให้เด็กๆ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจากน้ำอัดลมได้

เกี่ยวกับน้ำอัดลม

เรื่องควรรู้เกี่ยวกับน้ำอัดลมน้ำอัดลมเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมประเภทหนึ่งเนื่องจากมีรสชาติอันยอดเยี่ยม แถมยังรสหวาน
ซาบซ่า ในที่นี้จะกล่าวถึงประเภทและส่วนประกอบภายในน้ำอัดลมกันก่อน

ประเภทของน้ำอัดลม
ถ้าแบ่งน้ำอัดลมตามลักษณะเฉพาะของสีและกลิ่น ที่มีจำหน่ายทั้งแบบบรรจุขวดและแบบกระป๋อง สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
ประเภทที่ 1 เป็นน้ำอัดลมรสโคล่า น้ำอัดลมประเภทนี้ปรุงแต่งด้วยหัวน้ำเชื้อโคล่าซึ่งมี
คาเฟอีนที่สกัดจากส่วนใบของต้นโคคาผสมอยู่ด้วย ปริมาณคาเฟอีนจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิด
ของน้ำอัดลมที่แตกต่างกันไป สำหรับสีน้ำตาลเข้มที่เป็นที่มาของสีน้ำดำหรือสีโคล่านั้น ส่วนใหญ่
แล้วจะมาจากสีผสมอาหารที่เป็นสีน้ำตาลไหม้
ประเภทที่ 2 เป็นน้ำอัดลมที่ไม่ใช่โคล่า ได้แก่ น้ำอัดลมที่ปรุงแต่งกลิ่นรสเลียนแบบน้ำผลไม้
เช่น ส้ม มะนาว หรือองุ่น น้ำหวานอัดลมพวกน้ำเขียว น้ำแดง และน้ำอัดลมที่สีเหมือนโคล่าแต่ไม่ใช่
คือ รู้ทเบียร์ น้ำอัดลมเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีคาเฟอีน เนื่องจากไม่ได้ปรุงแต่งด้วยหัวน้ำเชื้อชนิด
โคล่า อย่างไรก็ตามอาจมีการเติมคาเฟอีนสกัดเล็กน้อยในส่วนผสม เพื่อให้ได้ฤทธิ์กระตุ้นของคาเฟอีน
ทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปล่าเมื่อดื่มด้วย
ส่วนประกอบของน้ำอัดลม
ส่วนประกอบของน้ำอัดลม มีดังนี้
1. ส่วนประกอบหลักแน่นอนที่สุดก็คือ น้ำ น้ำนี้ได้มาจากการนำน้ำบาดาลมาผ่านการกรองและฆ่าเชื้อโรคด้วยคลอรีน จากนั้นก็จะมีการเติมส่วนประกอบตัวที่ 2 ลงไป
2. ส่วนประกอบตัวที่ 2 ก็คือ สารให้ความหวาน ซึ่งสารนี้ก็คือ น้ำตาลทรายหรือซูโครส นั่นเอง หรือในน้ำอัดลมบางชนิดจะมีการผสมน้ำตาลเทียมชนิดที่ใช้ใส่ในน้ำอัดลมคือ แอสปาร์แทม ลงไปแอสปาร์แทมเป็นกรดอะมิโนที่สามารถรับประทานได้แต่ต้องไม่มากเกินไปการผลิตน้ำอัดลมชนิดธรรมดาจะใช้น้ำตาลทรายเพียงอย่างเดียว นำมาผสมน้ำ แล้วต้มทำเป็นน้ำเชื่อมและกรอง ปัจจุบันมีการใช้สารให้ความหวานตัวอื่นเพิ่มมาอีก เช่น น้ำเชื่อมข้าวโพด และน้ำเชื่อมข้าวโพดแบบฟรุคโตสสูง เป็นต้น จากนั้นจะมีการเติมส่วนประกอบตัวที่ 3 ลงไป
3. ส่วนประกอบตัวที่ 3 คือ สารปรุงแต่ง หรือที่เรียกกันว่า หัวน้ำเชื้อ จะเป็นส่วนผสมของสารที่ให้สีและกลิ่น จากนั้นก็ทำให้ของผสมทั้งหมดเย็นลงเพื่อทำการเติมส่วนประกอบตัวที่ 4 ลงไป
4. ส่วนประกอบตัวที่ 4 เป็นตัวที่ทำให้น้ำอัดลมมีชื่อว่าน้ำอัดลมสมชื่อ แต่จริง ๆ น่าจะชื่อว่า น้ำอัดแก๊สมากกว่า เนื่องจากส่วนประกอบตัวที่ 4 นี้ก็คือ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) นั่นเอง โดยจะนำแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์อัดลงในส่วนประกอบทั้ง 3 ที่ผสมไว้ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นระหว่างน้ำกับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จะต้องใช้ความดันสูงหรือใช้การอัด
ให้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ทำปฏิกิริยากับน้ำให้ได้ เนื่องจากในสภาวะความดันปกติ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์แทบจะไม่ละลายน้ำหรือไม่ทำปฏิกิริยากับน้ำเลย ผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยานี้คือจะได้กรดคาร์บอนิกเป็นองค์ประกอบ โดยกรดคาร์บอนิกจะทำให้น้ำอัดลมซ่า และมีฟอง แต่กรด คาร์บอนิกที่เกิดขึ้นนั้นไม่เสถียร คือสามารถสลายตัวได้ง่ายในภาวะความดันปกติ ยิ่งถ้ามีความร้อนด้วยจะยิ่งเร่งการสลายตัวให้เร็วยิ่งขึ้น จะสังเกตได้ว่าถ้าเราตั้งน้ำอัดลมทิ้งไว้นาน ๆ รสชาติของน้ำอัดลมจะเปลี่ยนไปและไม่มีฟอง เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการสลายตัวของกรดคาร์บอนิกก็คือจะได้น้ำกับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์นั่นเอง ดังนั้น เมื่อเราเปิดขวดน้ำอัดลมออก ความดันที่สูงในขวดน้ำอัดลมก็จะลดลงเท่ากับความดันปกติ จึงทำให้กรดคาร์บอนิกสลายตัวออกมา ได้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเราสามารถสังเกตได้จากการเกิดฟองนั่นเอง ดังนั้นก่อนรับประทานน้ำอัดลมจึงต้องเก็บน้ำอัดลมภายใต้ความดันหรือให้ความเย็น
5. ถ้าเราลองดูส่วนผสมของน้ำอัดลมจากข้างขวดหรือข้างกระป๋องดู จะพบว่าหนึ่งในส่วนผสมนั้นคือ เอทิลีนไกลคอล สารตัวนี้เป็นตัวทำให้น้ำอัดลมเย็นจัดและช่วยป้องกันการแข็งตัวที่อุณหภูมิ0 องศาเซลเซียส เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วเราจะนำน้ำอัดลมไปแช่เย็นก่อนจะนำมารับประทาน เอทิลีน- ไกลคอลนี้ก็จะช่วยให้น้ำอัดลมไม่แข็งตัวที่อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส โดยจะทำให้น้ำอัดลมแข็งตัวที่อุณหภูมิต่ำกว่านั้น คือประมาณ -4 หรือ -5 องศาเซลเซียส
6. ส่วนประกอบตัวที่ 6 คือ คาเฟอีน คาเฟอีนไม่ได้มีเฉพาะในกาแฟ หรือในเครื่องดื่มบำรุงกำลังเท่านั้น แต่ยังมีในเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของเม็ดโคล่าด้วย คาเฟอีนเป็นสารที่มีกลิ่นหอม และเป็นสารกระตุ้นประสาทที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีฤทธิ์ในการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ร่างกายเกิดความตื่นตัวและลดความง่วงลง ปริมาณคาเฟอีนโดยทั่วไปจะมี 3 ระดับ คือ
- ระดับต่ำ มีปริมาณคาเฟอีน 50-200 มิลลิกรัม เมื่อได้รับเข้าไปจะทำให้สดชื่น และไม่ง่วง
- ระดับปานกลาง มีปริมาณคาเฟอีน 200-500 มิลลิกรัม เมื่อได้รับเข้าไปจะทำให้ปวดศีรษะกระวนกระวาย และนอนไม่หลับ
- ระดับสูง มีปริมาณคาเฟอีนประมาณ 1000 มิลลิกรัม เมื่อได้รับเข้าไปจะทำให้หัวใจเต้นเร็ว ใจ สั่น เบื่ออาหาร และทำให้เกิด คาเฟอีนนิซึม ได้ ปริมาณคาเฟอีนในน้ำอัดลมจะอยู่ในระดับต่ำต่อกระป๋องหรือต่อขวด ดังนั้นเมื่อได้รับประทาน
เข้าไปจึงทำให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าได้ แต่ไม่ควรรับประทานมากเกินไป
7. ส่วนประกอบต่อไป คือ วัตถุกันเสียหรือสารกันบูด ใส่เข้าไปเพื่อให้สามารถเก็บน้ำอัดลมได้นาน
8. ส่วนประกอบอื่น ๆ ในน้ำอัดลม เช่น กรดซิตริกและกรดฟอสฟอริก เป็นกรดค่อนข้างแรง จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อทางเดินอาหารได้การตรวจสอบหาส่วนประกอบในน้ำอัดลม
มีตัวอย่างวิธีการตรวจสอบดังนี้
1. ตรวจสอบหาคาร์โบไฮเดรตหรือสารประเภทแป้งในน้ำอัดลม โดยใช้สารละลายไอโอดีน จาก
การตรวจสอบพบว่า น้ำอัดลมไม่มีสารประเภทแป้ง เนื่องจากไม่ทำปฏิกิริยากับสารละลายไอโอดีน
2. ตรวจสอบหาคาร์โบไฮเดรตหรือสารประเภทน้ำตาลในน้ำอัดลม โดยใช้สารละลายเบเนดิกต์ จาก
การตรวจสอบพบว่า น้ำอัดลมไม่มีส่วนประกอบของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว
3. ตรวจสอบหาโปรตีนในน้ำอัดลม โดยใช้สารละลายไบยูเรต จากการตรวจสอบพบว่า น้ำอัดลมไม่
มีสารประเภทโปรตีน เนื่องจากไม่ทำปฏิกิริยากับสารละลายไบยูเรต
4. ตรวจสอบหากรดคาร์บอนิกในน้ำอัดลม โดยใส่หินปูนลงไปในน้ำอัดลม จากการตรวจสอบ
พบว่า ในน้ำอัดลมมีกรดคาร์บอนิกเนื่องจากสามารถกัดกร่อนหินปูนได้
สมบัติทั่วไปของน้ำอัดลม
ค่า pH หรือค่าความเป็นกรด – เบสของน้ำอัดลมมีค่าประมาณ 3.4 ค่า pH ระดับนี้ แสดงว่า
น้ำอัดลมมีสมบัติเป็นกรด ซึ่งสามารถทำให้กระดูกและฟันผุกร่อนได้
ผลของการบริโภคน้ำอัดลมต่อร่างกาย
1. บางคนที่ชอบดื่มน้ำอัดลมหลังอาหาร จะเกิดผลต่อร่างกาย คือเนื่องจากเอนไซม์ย่อยอาหารจะ
ทำงานได้ดีที่ระดับอุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส แต่อุณหภูมิของน้ำอัดลมแช่เย็นจะต่ำกว่านี้มาก ซึ่ง
ความเย็นขนาดนี้จะทำให้เอนไซม์เจือจาง และระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ อาหารที่เราทาน
เข้าไปก็จะไม่ถูกย่อย และยังหมักหมมจนเกิดแก๊สและของเสียที่จะกลายเป็นพิษต่อร่างกายได้
2. ถ้าดื่มน้ำอัดลมในเวลาที่ใกล้จะถึงเวลารับประทานอาหาร หรือในระหว่างรับประทานอาหาร จะ
ทำให้อิ่มและทานอาหารได้น้อยลง ซึ่งจะส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติได้
3. แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่อัดในน้ำอัดลมที่เกิดเป็นกรดคาร์บอนิก เป็นกรดที่ทำให้เกิดการ
อักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร อาจเกิดอาการปวดท้อง ทำให้ท้องอืด และปวดท้องเนื่องจากเกิด
แก๊สในกระเพาะอาหาร และจากสภาวะที่เป็นกรดของน้ำอัดลมทำให้ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรค
กระเพาะอาหารด้วย ดังนั้นผู้ที่ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลม
4. น้ำอัดลมมีรสหวานของน้ำตาล ถ้าดื่มมากจะเกิดการสะสม ทำให้เกิดโรคอ้วนได้ และรสหวนยัง
จะทำให้ติดได้ง่าย ดังนั้นถ้าดื่มน้ำอัดลมมากและรับประทานอาหารอื่นน้อย จะทำให้ขาดสมดุล
ทางโภชนาการ ที่สำคัญคือ ในเด็กถ้าปล่อยให้ดื่มแต่น้ำอัดลมโดยไม่ได้ดูแลให้รับประทานอาหาร
ให้ครบตามหลักโภชนาการและครบตามหมู่ อาจทำให้เด็กขาดสารอาหารได้ และความหวานของ
น้ำอัดลมจะเป็นอาหารของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุทำให้ฟันผุได้
5. คาเฟอีนในน้ำอัดลม เป็นสารกระตุ้นประสาทที่ มีฤทธิ์ในการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำ
ให้ร่างกายเกิดความตื่นตัวและลดความง่วงลง แต่ต้องได้รับในปริมาณน้อยเท่านั้น และคาเฟอีนมี
ผลต่อการขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะเพิ่มขึ้น ทำให้มีโอกาสสูญเสียแคลเซียมจากร่างกาย และ
ผลจากฟอสเฟตสูงในน้ำอัดลม ทำให้ระดับแคลเซียมในร่างกายต่ำลงได้อีกด้วย
การบริโภคน้ำอัดลมที่ถูกต้อง
จากที่กล่าวมานั้นส่วนใหญ่จะเป็นโทษจากการดื่มน้ำอัดลม แต่ปัจจุบันก็ยังมีการผลิต
น้ำอัดลมอยู่ เนื่องจากจริงๆ แล้วน้ำอัดลมก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้างคือ ให้ความสดชื่นแก่ร่างกาย ดื่มแล้ว
จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงอากาศร้อนๆ อย่างบ้านเรา เนื่องจากในน้ำอัดลมมี
คาเฟอีนสกัดปริมาณเล็กน้อยผสมอยู่ และที่สำคัญน้ำอัดลมยังให้พลังงานแก่ร่างกายเนื่องจากใน
น้ำอัดลมมีน้ำตาลอยู่ ซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้ แต่จุดอ่อนของน้ำอัดลมก็คือได้
พลังงานเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีสารอาหารอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีก เรียกว่าพลังงานที่ว่าง
เปล่า หรือ Empty calories ปริมาณพลังงานที่ให้ต่อ 1 หน่วยบริโภคของน้ำอัดลมบรรจุกระป๋อง ความ
จุ 325 มิลลิลิตร จะให้พลังงานประมาณ140 -250 กิโลแคลอรี ขึ้นกับปริมาณน้ำตาลที่เติมในแต่ละยี่ห้อ
ถ้า ต้องการจะดื่มน้ำอัดลมจึงควรมีการบริโภคที่ถูกต้องนั่นก็คือ หลังจากที่ดื่มน้ำอัดลมแล้ว
ควรบ้วนปากหรือแปรงฟันด้วยเสมอ เพื่อเป็นการป้องกันฟันผุ และไม่ควรดื่มน้ำอัดลมระหว่าง
รับประทานอาหารมื้อหลัก หรือถ้าดื่มน้ำอัดลมก็ควรดื่มในปริมาณน้อย และรับประทานอาหารให้
มากกว่าการดื่มน้ำอัดลม และที่สำคัญไม่ควรดื่มน้ำอัดลมในปริมาณมากเกินไป ควรหันมาดื่มน้ำผลไม้
นม หรือน้ำเปล่าแทน นอกจากจะทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นแล้ว ยังทำให้ร่างกายแข็งแรง และมี
ประโยชน์กับร่างกายอีกด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น